มังกรผู้พิทักษ์แห่งเมืองหิน
เนื้อเรื่อง
ณ อาณาจักรโบราณแห่งหนึ่ง ผู้คนใช้ชีวิตอย่างสงบสุขภายใต้การปกป้องของ "มังกรผู้พิทักษ์" ที่สถิตย์อยู่บนยอดเขาสูง มังกรผู้นี้มีพลังวิเศษในการดูแลความเป็นไปในเมือง หากผู้ใดต้องการความช่วยเหลือ ก็เพียงแค่เดินทางขึ้นไปบนยอดเขา บวงสรวงขอพรจากมังกร แล้วจ่ายค่าตอบแทนตามการใช้บริการ ซึ่งก็คือ "เพชรน้ำงาม" อันเป็นสมบัติล้ำค่าในดินแดนนี้
โมเดลการให้บริการของมังกรนั้นเรียกว่า "Pay-per-Use" คือจะคิดค่าบริการเป็นรายครั้งตามการขอความช่วยเหลือจริง เช่น หากขอพรให้ฝนตกต้องการน้ำ 1,000 หยด ก็จ่ายเพชร 1 เม็ด หรือถ้าอยากให้ช่วยขจัดภัยพิบัติ ก็จ่ายเพชรตามความรุนแรงและระยะเวลาของเหตุการณ์ วิธีนี้ทำให้ชาวเมืองจ่ายค่าบริการเท่าที่จำเป็น ไม่ต้องเสียเปล่าไปกับสิ่งที่ไม่ได้ใช้ อีกทั้งยังช่วยกระจาย "เพชรน้ำงาม" อันมีจำนวนจำกัด ไปตามการใช้จริงอย่างเป็นธรรม
ทว่าแม้ระบบ Pay-per-Use จะมีข้อดีมากมาย แต่ผ่านไปหลายร้อยปี ชาวเมืองก็เริ่มวิตก เพราะเพชรเหลือน้อยลงทุกที จนอาจไม่พอจ่ายค่าบริการของมังกรในอนาคต บ้างก็หวั่นใจว่าหากวันหนึ่งเพชรหมดลง มังกรจะยังคงปกปักรักษาเมืองนี้อยู่หรือไม่ ความกังวลนี้ก่อตัวขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นข่าวลือไปทั่ว
เมื่อเรื่องทั้งหมดทราบถึงมังกร มันจึงเรียกผู้นำเมืองขึ้นไปพบ พร้อมประกาศกร้าวว่า
"เจ้าทั้งหลายหารู้ไม่ว่าข้าปกป้องเมืองนี้ด้วยพลังแห่งศรัทธา มิใช่ด้วยค่าตอบแทนใดๆ ที่ข้าเรียกร้องเพชรจากพวกเจ้า ก็ด้วยปรารถนาจะให้ตระหนักถึงคุณค่าในสิ่งที่ข้ามอบให้ มิให้ใช้อำนาจข้าในทางมิชอบวันนี้ข้าขอสัญญาว่าจะดูแลเมืองหินให้รุ่งเรืองต่อไป โดยมิหวังสิ่งตอบแทน ทว่าหากเจ้ายังปรารถนาจะขอบคุณข้าด้วยเพชรเช่นเคย ข้าก็พร้อมรับไว้ด้วยความยินดียิ่ง"
นับแต่นั้นมา ชาวเมืองต่างซาบซึ้งและสำนึกในบุญคุณของมังกรผู้เมตตา พวกเขายังคงนำเพชรไปถวายเป็นประจำตามศรัทธา ทั้งที่มังกรไม่ได้เรียกร้องอีกต่อไป และนั่นก็กลายเป็นตำนานอันงดงามที่สืบทอดต่อกันมา เตือนให้ระลึกว่าแท้จริงแล้ว คุณค่าของการให้และรับนั้น อยู่เหนือกว่าสิ่งตอบแทนทั้งปวง
หลักการและแนวคิด
Pay-per-Use หรือโมเดลจ่ายตามการใช้งาน เป็นรูปแบบธุรกิจที่ให้บริการสินค้าหรือบริการแก่ลูกค้า โดยคิดค่าใช้จ่ายตามปริมาณหรือระยะเวลาที่ลูกค้าใช้งานจริง แทนการเหมาจ่ายแบบเบ็ดเสร็จหรือการสมัครสมาชิกระยะยาว ทำให้ลูกค้าจ่ายเงินเท่าที่จำเป็นและประหยัดค่าใช้จ่ายส่วนเกิน รวมถึงสามารถควบคุมการใช้งานได้อย่างยืดหยุ่นและคุ้มค่ามากขึ้น
- ข้อดีของ Pay-per-Use Model สำหรับธุรกิจ ได้แก่
- ขยายฐานลูกค้าได้มากขึ้น เพราะลดความกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายสูงหรือข้อผูกมัดระยะยาว
- สามารถเพิ่มราคาหรือปรับเปลี่ยนโครงสร้างราคาได้ง่ายตามต้นทุนหรืออุปสงค์ที่เปลี่ยนแปลง
- รับรู้รายได้ได้ทันทีเมื่อมีการใช้งาน ไม่ต้องรอตัดจ่ายหรือทยอยรับรู้เหมือนค่าสมาชิก
- ช่วยบริหารจัดการอุปสงค์ได้ดีขึ้น เพราะลูกค้ามักใช้บริการเท่าที่จำเป็นเมื่อต้องจ่ายตามปริมาณ
- ได้ข้อมูลพฤติกรรมการใช้งานของลูกค้าแบบละเอียดเพื่อนำไปวิเคราะห์และปรับปรุงการให้บริการ
- ข้อดีของ Pay-per-Use Model สำหรับลูกค้า ได้แก่
- จ่ายเงินเท่าที่ใช้จริง ประหยัดและคุ้มค่ากว่าการจ่ายแพ็คเกจราคาเหมา
- ไม่ต้องสมัครสมาชิกหรือผูกมัดตัวเองกับผู้ให้บริการในระยะยาว
- มีอิสระในการเลือกใช้และควบคุมค่าใช้จ่ายตามความต้องการหรืองบประมาณของตัวเอง
- สามารถทดลองใช้บริการได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมแรกเข้าหรือค่ามัดจำ
- สะดวกในการเปรียบเทียบราคาและเปลี่ยนไปใช้ผู้ให้บริการรายอื่นหากไม่พอใจ
- ตัวอย่างธุรกิจและบริการที่ใช้ Pay-per-Use Model ได้แก่
- สาธารณูปโภคพื้นฐาน เช่น ไฟฟ้า น้ำประปา แก๊ส ที่คิดค่าบริการตามหน่วยการใช้
- บริการคลาวด์คอมพิวติ้ง เช่น Amazon Web Services, Google Cloud ที่คิดค่าบริการตามการใช้ทรัพยากรเซิร์ฟเวอร์และระยะเวลา
- บริการเช่ารถจักรยาน รถสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า ที่คิดค่าบริการตามระยะทางหรือเวลาในการเช่า
- บริการเช่าพื้นที่โกดังหรือที่เก็บของ ที่คิดราคาตามขนาดพื้นที่และระยะเวลาการใช้งาน
- บริการซอฟต์แวร์บางประเภทที่คิดราคาตามจำนวนผู้ใช้งานหรือจำนวนครั้งการใช้
โดยสรุป Pay-per-Use Model เหมาะกับธุรกิจที่ให้บริการสินค้าหรือบริการที่ลูกค้ามีความต้องการใช้เป็นครั้งคราวหรือมีปริมาณการใช้ที่ไม่แน่นอน และสามารถวัดปริมาณการใช้งานได้อย่างชัดเจน ทั้งนี้ธุรกิจต้องมีระบบและเทคโนโลยีที่สามารถจัดเก็บ ประมวลผล และเรียกเก็บค่าบริการตามปริมาณการใช้งานจริงได้แบบอัตโนมัติและแม่นยำ รวมถึงสามารถรับมือกับความผันผวนของอุปสงค์ที่อาจเกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม ต้องระวังไม่ให้โครงสร้างราคามีความซับซ้อนจนลูกค้าสับสน และต้องสื่อสารให้ลูกค้าตระหนักถึงความคุ้มค่าในระยะยาวเมื่อเทียบกับการจ่ายเหมาด้วย