จังหวะแห่งความฝัน "เส้นทางสู่ดวงดาวของโปรโมเตอร์"
เนื้อเรื่อง
ณ เมืองใหญ่แห่งหนึ่ง มีชายหนุ่มนามว่า "อลัน" ในวัย 30 ปี เขาทำงานประจำในออฟฟิศแห่งหนึ่ง แต่ในยามว่างเขามักจะฝันถึงการเป็นโปรโมเตอร์จัดคอนเสิร์ตของศิลปินในดวงใจ อลันใช้เวลาหลายปีศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับวงการดนตรีและธุรกิจบันเทิง เก็บเงินลงทุน และสานสัมพันธ์กับคนในวงการ จนในที่สุดเขาก็ตัดสินใจลาออกจากงานประจำ เพื่อมุ่งสู่ฝันของการเป็นโปรโมเตอร์เต็มตัว
อลันเริ่มต้นจากการจัดคอนเสิร์ตเล็กๆ ในลานเบียร์ ผับ และงานอีเวนต์ต่างๆ เพื่อสร้างชื่อเสียงและเครือข่าย เขาทุ่มเทกับการประชาสัมพันธ์ บอกต่อกันปากต่อปากในหมู่เพื่อนและแฟนเพลง จนงานคอนเสิร์ตของเขาเริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น อลันสังเกตเห็นว่าเขาสามารถขยายฐานลูกค้าได้เร็วขึ้นผ่านการชักชวนลูกค้าที่ประทับใจกับคอนเสิร์ตให้ช่วยบอกต่อและชวนเพื่อนมางานของเขา
อลันเริ่มสร้างระบบพันธมิตรแบบ MLM กับแฟนเพลงที่สนใจ โดยให้พวกเขาเป็นตัวแทนจำหน่ายบัตรคอนเสิร์ต รับส่วนแบ่งจากบัตรที่ขายได้ และรับโบนัสเมื่อชวนตัวแทนคนอื่นมาร่วมงาน เขามุ่งเน้นที่คุณภาพของดนตรีและประสบการณ์ความบันเทิง ผสมผสานกับแผนการตลาดและผลตอบแทนที่จูงใจ ระบบนี้ทำให้เครือข่ายแฟนเพลงของอลันเติบโตอย่างรวดเร็ว ด้วยการบอกต่อและแรงจูงใจในการขายบัตรคอนเสิร์ต
อลันดูแลทีมงานตัวแทนจำหน่ายเป็นอย่างดี จัดอบรมเทคนิคการขายและความรู้เรื่องดนตรีให้พวกเขาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ตัวแทนมีความผูกพันและยินดีช่วยงานเขาในระยะยาว ขณะเดียวกัน เขาก็คอยกำกับดูแลไม่ให้ระบบบิดเบือนเป็นแชร์ลูกโซ่ ด้วยการย้ำเตือนให้ตัวแทนโฟกัสที่การสร้างประสบการณ์ทางดนตรีที่ดีให้ลูกค้า มากกว่าการหวังแต่จะเพิ่มจำนวนสมาชิกใหม่เข้ามา
หลังผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายปี ในที่สุดความฝันของอลันก็เป็นจริง เขากลายเป็นโปรโมเตอร์มืออาชีพที่มีเครือข่ายแฟนเพลงเหนียวแน่นทั่วประเทศ คอนเสิร์ตที่เขาจัดได้รับการตอบรับอย่างท่วมท้น ศิลปินต่างอยากร่วมงานกับเขา สำหรับอลัน ความสำเร็จนี้ไม่ใช่แค่ชื่อเสียงเงินทอง แต่เป็นรางวัลของการทำตามหัวใจ ล้มลุกคลุกคลานจนประสบความสำเร็จ และการได้มอบความสุขทางดนตรีแก่ผู้คนนับหมื่นนับแสน นั่นคือสิ่งที่มีค่าที่สุดสำหรับเขา
เรื่องราวของอลัน สะท้อนให้เห็นว่าธุรกิจแบบ MLM สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับธุรกิจบันเทิงได้ หากเราปรับใช้อย่างสร้างสรรค์ มุ่งเน้นที่คุณภาพและคุณค่าของสินค้า ไม่ใช่แค่การหวังผลกำไรเร็วๆ จากการชักชวนสมาชิกใหม่ การสร้างสายสัมพันธ์ในเชิงบวกกับพันธมิตรและลูกค้า พร้อมกับการปรับปรุงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จะนำพาเราไปสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืนในที่สุด MLM ไม่ได้มีดีแค่กับธุรกิจขายตรง หากแต่สามารถประยุกต์ใช้ได้หลากหลาย ขึ้นอยู่กับความคิดสร้างสรรค์และจริยธรรมในการทำธุรกิจของผู้นำเช่น อลัน
หลักการและแนวคิด
Multi-level Marketing (MLM) หรือโมเดลขายตรง เป็นรูปแบบธุรกิจที่บริษัทจำหน่ายสินค้าหรือบริการผ่านเครือข่ายของผู้จัดจำหน่ายอิสระหลายระดับชั้น (multi-level) โดยผู้จัดจำหน่ายจะได้รับค่าคอมมิชชั่นจากยอดขายสินค้าของตนเอง และจากยอดขายของผู้จัดจำหน่ายคนอื่นที่ตนแนะนำหรือสปอนเซอร์เข้ามาในเครือข่าย (downline) ทำให้มีโอกาสสร้างรายได้แบบทวีคูณจากการขยายเครือข่ายลงไปเรื่อยๆ
- ข้อดีของ MLM Model สำหรับบริษัท ได้แก่
- ประหยัดค่าใช้จ่ายด้านพนักงานขาย การกระจายสินค้า และการโฆษณาประชาสัมพันธ์
- ขยายตลาดได้รวดเร็วจากการบอกต่อปากต่อปากของเครือข่ายผู้จัดจำหน่าย
- สร้างความภักดีในตัวสินค้า เพราะผู้จัดจำหน่ายมีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรงกับยอดขาย
- ได้ข้อมูลและผลตอบรับจากลูกค้าอย่างรวดเร็วผ่านเครือข่ายผู้จัดจำหน่ายที่ใกล้ชิดกับลูกค้า
- สินค้ามีเรื่องราวและการรับรองจากผู้ใช้จริง ทำให้ลูกค้ามีแรงจูงใจซื้อมากขึ้น
- ข้อควรพิจารณาสำหรับบริษัทที่ใช้ MLM Model คือ
- ต้องมีสินค้าที่มีคุณภาพ ราคาเหมาะสม และตอบสนองความต้องการของตลาด
- ต้องมีแผนการตลาดที่ดึงดูดใจ มีการจ่ายผลตอบแทนที่จูงใจ และมีระบบสนับสนุนผู้จัดจำหน่าย
- ต้องมีการฝึกอบรมและพัฒนาผู้จัดจำหน่ายอย่างต่อเนื่อง ทั้งด้านความรู้เกี่ยวกับสินค้าและทักษะการขาย
- ต้องมีระบบติดตามและจัดการเครือข่ายผู้จัดจำหน่ายที่มีประสิทธิภาพ ป้องกันการขัดแย้งหรือแข่งขันกันเอง
- ต้องระวังไม่ให้เข้าข่าย "แชร์ลูกโซ่" (pyramid scheme) ที่ผิดกฎหมาย โดยเน้นที่การขายสินค้ามากกว่าการหาสมาชิก
- ตัวอย่างบริษัทที่ใช้ MLM Model ได้แก่
- Amway บริษัท MLM ยักษ์ใหญ่ระดับโลกที่ขายสินค้าอุปโภคบริโภคหลากหลายประเภท
- Herbalife บริษัทขายตรงผลิตภัณฑ์อาหารเสริมและควบคุมน้ำหนัก
- Avon บริษัทเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์เพื่อความงามที่มีการขายตรงมานานถึง 130 ปี
- Nu Skin บริษัทขายผลิตภัณฑ์ดูแลผิวพรรณและอาหารเสริม ใช้ระบบ MLM ร่วมกับการขายปลีก
- Oriflame บริษัทเครื่องสำอางสวีเดนที่จำหน่ายผ่านตัวแทนจำหน่ายอิสระกว่า 3 ล้านคนใน 60 ประเทศ
โดยสรุป MLM Model เหมาะกับบริษัทที่มีสินค้ามุ่งเน้นผู้บริโภคโดยตรง (consumer products) มีเรื่องราวน่าสนใจ และมีราคาสูงพอที่จะแบ่งเป็นค่าคอมมิชชั่น รวมถึงต้องการอาศัยพลังของเครือข่ายสังคมในการบอกต่อและขยายตลาดอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม บริษัทต้องวางโครงสร้างผลตอบแทนที่ยุติธรรม เน้นการขายสินค้ามากกว่าการหาสมาชิกใหม่ และต้องมีมาตรการป้องกันการเกิดพฤติกรรมที่ผิดจริยธรรมหรือผิดกฎหมายในเครือข่ายอย่างเข้มงวดด้วย