นัก-มวย-กับศิลปะการบริหารความเสี่ยง

บริหารความเสี่ยงและวางแผนรับมือกับวิกฤต
26 มีนาคม ค.ศ. 2024 โดย
K&O Systems and Consulting

นัก-มวย-กับศิลปะการบริหารความเสี่ยง


เนื้อเรื่อง

​​

​ในรังสี่เหลี่ยมปะทะมวยไทยแห่งหนึ่ง มีชายหนุ่มผู้มีร่างกายกำยำแกร่งและภูมิใจในตำนานรบสองแถว ชื่อว่า "สิงห์เดชา" เขาเป็นนักมวยมืออาชีพที่กำลังได้รับความนิยมสูงสุดในเวลานั้น แต่อาชีพนักมวยก็มิใช่ทางเดียวที่ปลอดภัย


​วันหนึ่ง ขณะเดินทางออกจากรังมวย สิงห์เดชาได้พบกับผู้จัดการคนเก่าของเขา ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งครูฝึกนักมวยเยาวชน เขารู้สึกโชคดีที่ได้พบปะเพื่อนรักเก่า จึงนั่งจิบกาแฟคุยกันอย่างอารมณ์ดี


​"สิงห์เอ๋ย ผมดีใจมากที่เห็นนายทำผลงานได้ดีในวงการมวย" คุณครูเริ่มพูดด้วยรอยยิ้มแห่งความภาคภูมิใจ "แต่การเป็นนักมวยมืออาชีพถือเป็นอาชีพที่เสี่ยงมาก ไม่เพียงด้านร่างกายเท่านั้น แต่ยังมีความเสี่ยงด้านการเงิน ชื่อเสียง ตลอดจนอนาคตหลังเลิกเป็นนักมวยอีกด้วย"


​สิงห์เดชาพยักหน้ารับรู้ในสิ่งที่ครูบอก แม้จะเป็นนักมวยที่ประสบความสำเร็จ แต่เขาก็เคยเจ็บปวดและบาดเจ็บจากการชกมวยหลายครั้ง อีกทั้งยังมีตัวอย่างของนักมวยหลายคนที่ประสบปัญหาหลังจากเกษียณไปแล้ว


​"สิ่งสำคัญคือต้องมีการบริหารความเสี่ยงอย่างรอบคอบและวางแผนรับมือกับวิกฤตนะสิงห์" คุณครูพูดต่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง "นักมวยเปรียบเสมือนผู้ประกอบการที่ต้องบริหารความเสี่ยงในธุรกิจของตนเอง การระบุและประเมินความเสี่ยงอย่างละเอียดทั้งในสนามและนอกสนาม ตั้งแต่อาการบาดเจ็บ การแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม ปัญหาการเงินและชื่อเสียง จะช่วยให้นายมีแผนรองรับที่ดี"


​สิงห์เดชาพยักหน้าด้วยความสนใจ ก่อนครูจะดำเนินคำอธิบายต่อ "นายต้องกำหนดมาตรการจัดการความเสี่ยงที่เหมาะสม เช่น การฝึกซ้อมอย่างปลอดภัย การทำประกันสุขภาพและอุบัติเหตุ การลงทุนเพื่ออนาคต และสร้างรายได้จากช่องทางอื่นนอกเหนือจากการชกมวย รวมถึงสร้างพันธมิตรที่ดีในวงการ โดยใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีช่วยบริหารจัดการได้ง่ายขึ้น"


​"ครับผม ผมจะนำคำแนะนำของครูไปปรับใช้อย่างแน่นอน" สิงห์เดชารับปากด้วยความจริงใจ "โดยเฉพาะเรื่องการวางแผนรับมือกับวิกฤต เช่น การบาดเจ็บสาหัสจนต้องพักยาวหรือต้องเลิกเป็นนักมวย รวมถึงการสร้างวัฒนธรรมการตระหนักถึงความเสี่ยงให้กับลูกศิษย์และคนรอบข้างด้วย"


​คุณครูพยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้ม "นั่นสิ ถ้านักมวยทุกคนมีมุมมองเช่นเดียวกับนาย ฝันของนักมวยหลายคนคงไม่ต้องสลายเพราะความประมาท วงการมวยจะเจริญก้าวหน้าอย่างมีคุณภาพและยั่งยืน"


​สิงห์เดชาค้อมศีรษะรับคำกับครูเพื่อนรักคนนี้ เขาจะพยายามนำศาสตร์แห่งการบริหารความเสี่ยงที่ได้รับมาฝึกฝนให้กลายเป็นเกราะป้องกันความเสี่ยงในอาชีพนักมวยของเขา เพื่อสามารถก้าวไปสู่ความสำเร็จในรังมวยและในชีวิตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน


หลักการและแนวคิด​​​​

​​​

​ในการดำเนินธุรกิจย่อมมีความเสี่ยงและความไม่แน่นอนเกิดขึ้นได้เสมอ ทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอกองค์กร หากองค์กรไม่มีการบริหารจัดการความเสี่ยงที่ดีอาจส่งผลกระทบรุนแรงถึงขั้นล้มเหลวหรือล่มสลายได้ ดังนั้นองค์กรจึงจำเป็นต้องมีกระบวนการบริหารความเสี่ยงและวางแผนรับมือกับวิกฤตอย่างเป็นระบบ เพื่อป้องกัน ลด และจัดการความเสี่ยงให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ รวมทั้งเตรียมความพร้อมรับมือกับเหตุการณ์วิกฤตที่อาจเกิดขึ้น เพื่อให้องค์กรสามารถดำเนินงานได้อย่างต่อเนื่องและฟื้นตัวกลับสู่สถานการณ์ปกติโดยเร็ว โดยมีแนวทางดังนี้


  • การกำหนดนโยบายและกรอบการบริหารความเสี่ยงที่ชัดเจน สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ กลยุทธ์ และระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ขององค์กร (Risk Appetite) ครอบคลุมความเสี่ยงในทุกด้าน เช่น ความเสี่ยงด้านกลยุทธ์ การปฏิบัติการ การเงิน กฎระเบียบ ชื่อเสียง ภัยพิบัติ เป็นต้น โดยมีการสื่อสารและถ่ายทอดนโยบายให้พนักงานทุกคนรับทราบและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด


  • การระบุและประเมินความเสี่ยง (Risk Identification and Assessment) โดยพิจารณาทั้งปัจจัยภายในและภายนอก เช่น สภาพเศรษฐกิจ การเมือง สังคม เทคโนโลยี คู่แข่ง ลูกค้า คู่ค้า กระบวนการ บุคลากร ระบบงาน เป็นต้น เพื่อวิเคราะห์โอกาส ผลกระทบ และระดับความรุนแรงของแต่ละความเสี่ยง รวมถึงความเชื่อมโยงระหว่างความเสี่ยงต่างๆ และจัดลำดับความสำคัญเพื่อให้สามารถจัดการความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ


  • การกำหนดมาตรการจัดการความเสี่ยง (Risk Response) ที่เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงและความคุ้มค่าในการลงทุน เช่น การหลีกเลี่ยง การลด การโอน และการยอมรับความเสี่ยง ผ่านกลยุทธ์ต่างๆ เช่น การปรับเปลี่ยนแผนงาน การจัดทำแผนสำรอง การทำประกันภัย การพัฒนากระบวนการและการควบคุมภายใน การสร้างพันธมิตร การกระจายความเสี่ยง การฝึกอบรมพนักงาน เป็นต้น โดยมีการมอบหมายผู้รับผิดชอบและจัดสรรทรัพยากรอย่างเพียงพอ


  • การสร้างวัฒนธรรมการตระหนักรู้เรื่องความเสี่ยง (Risk Awareness Culture) ในทุกระดับขององค์กร ตั้งแต่ระดับกรรมการ ผู้บริหาร ไปจนถึงพนักงาน โดยมีการสื่อสาร ให้ความรู้ จัดอบรม และทำให้เป็นส่วนหนึ่งของการทำงานประจำวัน เพื่อให้ทุกคนเข้าใจ เห็นความสำคัญ และมีส่วนร่วมในการบริหารความเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบร่วมกันทั้งองค์กร


  • การเฝ้าติดตามและทบทวนความเสี่ยงเป็นระยะ (Risk Monitoring and Review) เพื่อประเมินประสิทธิภาพของมาตรการจัดการความเสี่ยง ปรับแผนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง ค้นหาความเสี่ยงใหม่ที่อาจเกิดขึ้น รวมถึงรายงานให้ผู้บริหารและผู้เกี่ยวข้องทราบอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้การบริหารความเสี่ยงเป็นไปอย่างทันท่วงทีและมีประสิทธิผล


  • การพัฒนาแผนรองรับสถานการณ์วิกฤต (Business Continuity Plan) ที่ครอบคลุมทุกด้านและทุกหน่วยงาน เช่น สถานที่ทำงานสำรอง การสำรองข้อมูล การกู้คืนระบบ การสื่อสารในภาวะวิกฤต แผนอพยพ ห่วงโซ่อุปทานสำรอง แผนการเงิน การฝึกซ้อมและทดสอบแผนเป็นประจำ โดยกำหนดเป้าหมายให้ธุรกิจสามารถดำเนินงานต่อเนื่องได้ในระดับที่ยอมรับได้และฟื้นตัวกลับสู่สถานการณ์ปกติให้เร็วที่สุด


  • การแต่งตั้งคณะทำงานบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจและสถานการณ์วิกฤต (BCM & Crisis Team) ที่ประกอบด้วยผู้บริหารและผู้เชี่ยวชาญจากหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อทำหน้าที่ประเมินสถานการณ์ ตัดสินใจ สื่อสาร อำนวยการ ระดมทรัพยากร และประสานความร่วมมือทั้งภายในและภายนอกองค์กรในการดำเนินการตามแผนได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ


  • การสร้างเครือข่ายและความร่วมมือกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Stakeholder Engagement) ทั้งลูกค้า คู่ค้า ผู้ถือหุ้น พันธมิตร ภาครัฐ สื่อมวลชน และชุมชน ในการแลกเปลี่ยนข้อมูล ประสานงาน ขอความช่วยเหลือ และบริหารจัดการความเสี่ยงและวิกฤตร่วมกัน เพื่อสร้างความไว้วางใจ ความร่วมมือ และผลประโยชน์ร่วมกันในระยะยาว


  • การใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมมาช่วยในการบริหารความเสี่ยง เช่น ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารความเสี่ยง (GRC) ปัญญาประดิษฐ์ในการประเมินความเสี่ยง ข้อมูลขนาดใหญ่ในการคาดการณ์แนวโน้ม บล็อกเชนในการสร้างความโปร่งใส ระบบการสื่อสารและแจ้งเตือนอัตโนมัติ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ประสิทธิผล ความรวดเร็ว ความถูกต้อง และความปลอดภัย ในการบริหารจัดการความเสี่ยงให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง


​การบริหารความเสี่ยงและวางแผนรับมือวิกฤตนับเป็นหัวใจสำคัญของการบริหารจัดการองค์กรยุคใหม่ที่ต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่ผันผวนและคาดเดาได้ยาก แต่หากองค์กรมีการเตรียมการอย่างรอบด้าน ทั่วถึง และต่อเนื่อง ก็จะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและขีดความสามารถให้องค์กรสามารถเติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนท่ามกลางสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในปัจจุบันและอนาคตได้เป็นอย่างดี